24 กุมภาพันธ์ 2551

7 วิธีสร้างสุขในที่ทำงาน

1. เชี่ยวชาญเรื่องอินเทอร์เน็ตใครๆ ก็รู้ว่ายุคสมัยนี้ใครที่มี "ข้อมูล" มากกว่ามักได้เปรียบ ยิ่งรอบรู้มากเท่าไร คุณก็จะยิ่งมั่นใจในสิ่งที่คิดที่ทำมากเท่านั้น ลองพิจารณาดูตัวเองว่าขาดตกบกพร่องตรงนี้ไปหรือเปล่า เพราะหากคุณปรับปรุงตัวเองได้ ไม่ว่าคุณจะคุยกับใครก็เป็นต่อ เพื่อนร่วมงานก็จะแอบทึ่ง โดยเฉพาะเจ้านายคงนิยมชมชอบ เทคะแนนให้คุณเต็มที่
2. ประเมินตัวเองอย่างมีเหตุผล ได้เวลา "กำจัดจุดอ่อน" อย่าเพิ่งตกใจว่าใครจะมากำจัดคุณ ตัวคุณนั่นแหละที่ต้องกำจัดจุดอ่อนของตัวเอง เริ่มจากเขียนออกมาเป็นข้อๆ ว่าคุณมีจุดอ่อนจุดแข็งอะไรบ้าง แล้วให้เพื่อนที่คบกันมานานจนรู้ไส้รู้พุงคุณดีลองอ่าน และช่วยแนะนำว่าคุณควรปรับปรุงจุดไหนบ้าง จากนั้นก็พิจารณาเหตุผลที่ได้ในแต่ละข้อ แล้วนำมาแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ โดยเฉพาะจุดอ่อนของคุณ เพราะหากคุณมีจุดอ่อนยิ่งจะเป็นเป้าการตำหนิของเพื่อนร่วมงานและเจ้านายซึ่งส่งผลให้สภาพจิตใจถูกบั่นทอนลงไปด้วย
3. พิชิตความกลัวด้วยความกล้าโดยเริ่มฝ่าด่านความกลัวจากเรื่องง่ายๆ ก่อน เช่น การดูหนังคนเดียวในโรงภาพยนต์แล้วคุณจะรู้สึกถึงชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ เกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง และมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น ใช้ความรู้สึกแหละเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ ที่ทำให้คุณกลัวในที่ทำงานแล้วคุณจะพบว่าไม่มีอะไรน่ากลัวเลยสักนิด ถ้าคุณคิดที่จะทำ
4. จัดระบบการทำงานให้มีระเบียบ การจัดทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นระบบ คุณจะเห็นอะไรๆ ชัดเจนขึ้น โต๊ะทำงานที่รกรุงรังเต็มไปด้วยแฟ้มเอกสาร ควรจัดเก็บให้เข้าที่เข้าทางเพื่อความสะดวกในการค้นหาและนำมาใช้งาน ถ้ารู้สึกว่าหน้าจอคอมพิวเตอร์เต็มไปด้วยอีเมล์เก่าๆ หรือไฟล์งานที่ไม่ใช้แล้ว ควรลบทิ้งไป เพื่อเพิ่มเติมสิ่งใหม่เข้าไปแทน
5. ทำจิตใจให้แจ่มใสการทำใจให้สบายคือคุญแจดอกสำคัญที่จะขจัดปัญหาต่างๆ เชื่อเถอะว่า ไม่มีอะไรแย่จนแก้ไขไม่ได้ จงมองโลกในแง่ดี มีทัศนคติที่ดีในการทำงาน ถ้าเครียดมากนักก็พักซะบ้าง และที่พักผ่อนที่ดีที่สุดก็ไม่พ้นที่บ้าน จัดมุมพักผ่อนที่เงียบสงบ สามารถแวะเข้ามานั่งเล่น นอนเล่นได้อย่างสบายใจ ถ้ายามใดที่ต้องแบกปัญหากลับมาบ้าน แวะเข้ามามุมนี้ อย่างน้อยสัก 5 นาที ในแต่ละวัน ไอเดีย***งๆ มักจะเกิดขึ้นในยามที่จิตใจสงบเสมอ
6. หนักแน่นและมีเหตุผลเมื่อมีปัญหาในหน้าที่การงาน อย่าเพิ่งตีโพยตีพายเป็นกระต่ายตื่นตูม แต่ควรพยายามควบคุมจิตใจให้หนักแน่นและมีเหตุผลไม่ปล่อยให้ตัวเองตื่นเต้น หวั่นไหว ฟุ้งซ่านหลังจากนั้นก็คิดหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างมีสติ
7. ค้นหาคุณค่าที่แท้จริงของตัวเอง ลองทบทวนถึงสิ่งที่ผ่านมา ประเมินว่าตัวเองมีความถนัดหรือไม่ถนัดกับสิ่งที่ต้องรับผิดชอบขณะนี้ ถ้าถนัดและชอบอยู่แล้ว ก็พัฒนาความสามารถให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป ถ้าเป็นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงก็ควรปรับและเปลี่ยนให้เหมาะสม
ปฏิบัติตามวิธีดังกล่าวดู ตราบใดที่มีความมุ่งมั่นและตั้งใจจริงชีวิตการทำงานของคุณจะราบรื่นเป็นสุขขึ้นอีกหนึ่งความรู้สึกดี - ดี อีกด้วย
http://www.mcu.ac.th

8 ปริศนาธรรมการปลงศพ

1. มัดตราสังเป็นสามเปราะเคาะความหมาย เมื่อวางวายมัดคอไว้ความหมายล้ำ การผูกมัดหมายถึงบ่วงห่วงให้จำ ที่คอนั้นบ่วงรักลูกผูกมัดใจ มัดที่มือคือบ่วงรักภักดิ์ผัว-เมีย เมื่อตายเสียยังห่วงหาอาทรไห้ ส่วนสมบัติและทรัพย์สินนั้นกินใจ มัดติดไว้ที่ข้อเท้าให้เศร้าตรม สามบ่วงนี้ผูกติดจิตติดนิสัย เมื่อบรรรลัยนิพพานไปไม่ได้สม ต้องเวียนว่ายในวัฏฏะสังคคม เป็นอารมย์ที่ยึดติดจิตอุปไมย

2. ยามพระสงฆ์นั่งสวดพร้อมน้อมรับศีล ศพไม่ได้ยินบุตรหลานก็เคาะโลงให้ แท้จริงใบ้แขกรับศีลผินประไพ เป็นความหมายบอกผู้คนยลพระธรรม อย่าทำตัวให้ประมาทขาดสติ ไม่ทิฏฐิละทิ้งไปในคำสอน หมดโอกาสได้กระทำยามม้วยมรณ์ จะอ้อนวอนเคาะโลงไงไม่ได้ฟัง
3. ยามพระสงฆ์สวดภาษาว่าบาลี หมู่คนดีฟังไม่รู้อยู่หน้าหลัง เข้าใจว่าพระสวดให้คนตายฟัง อโธ่ถัง! พระสวดสอนคนตอนเป็น หวังให้คนเอาไปใช้ปฏิบัติ ใช้ยืนหยัดดำรงตนพ้นทุกข์เข็ญ หากฟังแล้วไม่เข้าใจไม่จำเป็น ขอให้เน้นสำรวมจิตคิดสิ่งดี
4. บวชหน้าไฟมักเข้าใจกันให้ผิด ต่างก็คิด"จูงคนตาย"ไปวิถี พ้นนรกสู่สวรรค์ชั้นที่ดี จึงบางทีแย่งกันบวชผนวชกัน แท้ที่จริงเป็นการลงปลงสังเวช ถึงสาเหตุเกิดเจ็บตายไม่เหหัน เกิดมาแล้วไม่แคล้ววายตายด้วยกัน เพียงเท่านั้นมนุษย์นี้มีอะไร เมื่อปลงได้ก็อยากได้หนีไปบวช ไปผนวชหนีแสงสีโลกีย์วิสัย ประพฤติธรรมเพื่อหลุดล้นให้พ้นไป เพื่อจะได้สู่มรรคผลหนนิพพาน
5. การนิมนต์พระจูงศพพบแห่งเหตุ เป็นจิตเจตให้คนคิดจิตสันนิษฐาน ใช้พระธรรมองค์สัมมาฯมีมานาน ดำรงการดำรงตนเป็นคนดี ยามมีชีพดำรงตามพระธรรมสอน ตามขั้นตอนองค์สัมมาหาวิถี เอาคนตายให้พระนำตามวิธี สังวรนี้ไว้สอนคนสนใจทำ
6. การเวียนศพซ้าย 3 รอบชอบความหมาย การเวียนว่ายเกิดตายในภพสาม มีกามภพ,รูปภพ,อรูปภพ ประสบตาม ทุกเมื่อยามอยู่วนเวียนกรรมเกวียนกง เมาตัณหาอุปทานการกิเลส น่าสังเวชเป็นทุกข์ใจให้ลุ่มหลง ไม่จบสิ้นมัวเวียนว่ายตายอยู่ยง ต้องละหลงทวนกระแสแห่ศพเวียน
7. น้ำมะพร้าวล้างหน้าศพลบกิเลส เป็นจิตเจตน์ความสะอาดไม่พลาดเปลี่ยน ดั่งน้ำทิพย์อันบริสุทธิ์ดุจกระเษียร ชำระเปลี่ยนให้จิตใจใส่ดวงธรรม
8. เผาศพแล้วเหลือขี้เถ้าเคล้าเศษอัฐิ เขาเขี่ยคัดเถ้าไปมาน่าสอบถาม จัดเป็นรูปร่างคนจนสวยงาม คือหมายความกลับชาติใหม่ใช้กรรมเวร
ปริศนาธรรมคนเก่าก่อนสอนให้คิด แฝงนิมิตบอกความนัยให้คนเห็น เป็นข้อคิดก่อเกิดธรรมความจำเป็น และฝากเน้นถึงกรรมดีที่พึงทำ..... http://www.watkoh.com/

19 กุมภาพันธ์ 2551

ธรรมะยาใจ สุขกาย สบายใจ

ลูกรัก...
ขึ้นชื่อว่าความทุกข์แล้วเป็นไม่มีใครปรารถนาแน่นอน แต่ทุกคนก็มีทุกข์ติดตัวกันอยู่ทั้งนั้น มากบ้างน้อยบ้างก็ต้องมี เพราะท่านว่าทุกข์มี ๒ อย่างคือ ทุกข์กายกับทุกข์ใจ ทุกข์กายแก้ได้ด้วยอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค แต่ทุกข์ใจนั้นท่านว่าต้องแก้ด้วยธรรมะ ธรรมะเป็นยาแก้ทุกข์ทางใจ เป็นยาหอมบำรุงหัวใจ เป็นที่พึ่งทางใจ คนเราเมื่อมีทุกข์ทางกาย ได้อาหารเป็นต้นมารักษาก็หาย แต่ทุกข์ทางใจต้องใช้ธรรมะมารักษา คนที่ไม่เห็นความจริงข้อนี้ เมื่อมีทุกข์ทางใจก็จะทุกข์หนัก ว้าเหว่ เศร้าสร้อย บ่นเพ้อรำพันและโวยวายโทษนั่นโทษนี่ ส่วนคนที่มีธรรมะและปฏิบัติธรรมะจะมีภูมิต้านทานทุกข์ทางใจได้ดีกว่าคนปกติ แม้จะเผชิญกับทุกข์ก็บรรเทาทุกข์ได้เอง และสามารถหาความสุขได้แม้ในยามทุกข์เข็ญ ลูกจงฝึกฝนทำความเข้าใจธรรมะให้ดีเถิด จะเข้าใจได้เองว่าธรรมะนั้นดีอย่างไร
(อบรมโครงการกลุ่มเพื่อนร่วมใจ อยู่กับเบาหวามอย่างไรให้มีความสุข 19 ก.พ.51) http://www.dhammajak.net/

18 กุมภาพันธ์ 2551

ธรรมะยาใจ อยู่อย่างไรให้มีสุข


ธรรมะที่พระองค์ทรงสอนไว้นี้ความจริง ก็เป็นยาชนิดหนึ่ง
ที่เป็นเครื่องรักษาจิตใจให้พ้นจากความเป็นทุกข์ ความเดือนร้อน
พระพุทธเจ้าเองก็เป็นนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ในการรักษาโรคทางใจ อันเกิดขึ้นแก่บุคคลทั่วๆไป
ธรรมะที่พระองค์นำไปแสดงนั้น เป็นยาขนานแท้ๆ สำหรับรักษาโรคทางวิญญาณ
เราต้องเรียนยาเอาเอง เรียนสรรพคุณของตัวยา
แล้วเราก็เอายาไปใช้ในยามที่เรามีความทุกข์เดือนร้อนใจ
(อบรมโครงการกลุ่มเพื่อนร่วมใจ อยู่กับเบาหวามอย่างไรให้มีความสุข 19 ก.พ.51)

16 กุมภาพันธ์ 2551

พรหมวิหารธรรม

พรหมวิหารธรรม แปลว่า ธรรมของพรหมหรือของท่านผู้เป็นใหญ่ พรหมวิหารเป็นหลักธรรมสำหรับทุกคน เป็นหลักธรรมประจำใจที่จะช่วยให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างประเสริฐและบริสุทธิ์ หลักธรรมนี้ได้แก่
เมตตา ความปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับสุข
กรุณา ความปราถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
มุทิตา ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี
อุเบกขา การรู้จักวางเฉย
๑. สุขัง สุปฏิ นอนหลับเป็นสุข เหมือนนอนหลับในสมาบัติ
๒. ตื่นขึ้นก็มีความสุข มีอารมณ์แช่มชื่นหรรษา ไม่มีความขุ่นมัวในใจ
๓. นอนฝัน ก็ฝันเป็นมงคล มิฝันเห็นสิ่งลามก
๔. เป็นที่รักของมนุษย์ เทวดา พรหม และภูติผีทั้งปวง
๕. เทวดาและพรหม จะรักษาให้ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง
๖.จะไม่มีอันตรายจากเพลิง ไม่มีอันตรายจากสรรพาวุธและยาพิษ
๗. จิตจะตั้งมั่นในอารมณ์สมาธิเป็นปกติ สมาธิที่ได้ไว้แล้วจะไม่เสื่อม จะเจริญรุดหน้ายิ่งขึ้น ๘. มีดวงหน้าผุดผ่องเป็นปกติ
๙.เมื่อจะตาย จะมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ สติมิฟั่นเฟือน
๑๐. ถ้ามิได้บรรลุมรรคผลในชาตินี้ เพราะทรงพรหมวิหาร ๔ นี้ ผลแห่งการเจริญพรหมวิหาร๔ นี้ ก็จะส่งผลให้ไปเกิดในพรหมโลก
๑๑. มีอารมณ์แจ่มใส จิตใจปลอดโปร่ง ทรงสมาบัติ วิปัสสนา และทรงศีลบริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นปกติ รวมอานิสงส์การทรงพรหมวิหาร ๔ มี ๑๑ ประการ

อุทยานแห่งชาติรามคำแหง (เขาหลวง)

หากจังหวะชีวิตของคุณคือการเดินทาง
กี่ก้าวที่ผ่านมาตลอดชีวิตก็คงหมดค่า
หากความปรารถนาคุณคือสิ่งที่มาไม่ถึง
ชีวิตยังมีหวังชีวิตยังมีโอกาส
หากหยุดพักบางจังหวะชีวิตเพื่อชีวิต

http://www.choengkili.blogspot.com/

เที่ยวอุทยานแห่งชาติรามคำแหง
ปรางค์หินแกร่งเขาปู่จ่า
ถ้ำพระแม่ย่าศักดิ์สิทธิ์
เพลินพิศน้ำตกลำเกลียว
ท่องเที่ยวถนนพระร่วง
บูชาหลวงพ่อโตนาเชิงคีรี.


อุทยานแห่งชาติรามคำแหง (เขาหลวง)

อุทยานแห่งชาติรามคำแหง (เขาหลวง)
แนวเขาหลวงมีรูปร่างคล้ายใบหน้าผู้หญิงงดงามชัดเจนที่สุด เมื่อท่านได้มองจากบ้านนาเชิง ความมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสรรค์สร้าง คนทุ่งหลวงต่างภาคภูมิใจ คนสมัยก่อนเรียกป่านี้ว่า "ป่าเขาหลวง" ปรากฏในหลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงในสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี
แสดงให้เห็นว่าเขาหลวงนี้มีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตและเป็นที่เคารพเชื่อถือของบรรพบุรุษเมืองสุโขทัยอย่างยิ่ง และปัจจุบันยังมีร่องรอยสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ปรากฏอยู่ในบริเวณและรอบ ๆ เขาหลวง นอกจากนี้ยังมีสวนลุ่ม สวนขวัญ ซึ่งเป็นสวนสมุนไพรในสมัยพระร่วงเจ้า ซึ่งมีความสำคัญต่อกรุงสุโขทัยสมัยนั้น และมีความสำคัญต่อคนสมัยนี้ในการค้นคว้า ศึกษา วิจัย เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์อย่างหนึ่ง